ข้อควรรู้เรื่องเบี้ยยังชีพคนชรา 
1. ก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าเราอายุ 59 ปี เต็ม ซึ่งตามระเบียบว่า ไว้ ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกปี ในทางปฏิบัติ ณ วันที่หน่วยงานราชการเปิดให้ขึ้นทะเบียนผู้สูงอายุ (ตามแบบ สผส.1) ซึ่งจะอยู่ประมาณเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี 
2. ต้องดูว่าปัจจุบันชื่อของเราอยู่บ้านเลขที่เท่าไร อยู่ในเขตความรับผิดชอบของการปกครองท้องถิ่นใด เช่น เทศบาล หรือ องค์การบริหารส่วนตำบล ให้ไปขึ้นทะเบียนตามนั้น ที่สำคัญหากตัวผู้สูงอายุเอง อยู่ตำบล ก. มานานแล้ว แต่ทะเบียนบ้านยังเป็นตำบล ข.ต้องกลับไปขึ้นทะเบียนที่ตำบล ข. หรือไม่ก็ต้องย้ายชื่อมาที่ตำบล ก. (ไม่มีกำหนดเวลาว่าจะต้องย้ายมายังพื้นที่แห่งนั้นภายในกี่เดือน)
3. เตรียมบัตรประชาชน , ทะเบียนบ้าน และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร ประเภทออมทรัพย์ ทั้งตัวจริงและตัวสำเนา 
4. การรับเงิน หากผู้สูงอายุขึ้นทะเบียน เดือน พฤศจิกายน 2559 ผู้สูงอายุคนนั้นจะต้องรับเงินใน เดือนตุลาคม ปี 2560 (เพราะขณะที่ผู้สูงอายุขึ้นทะเบียนนั้น อย่าลืมว่าขณะนั้นคุณมีอายุ เพียง 59 ปี เท่านั้น) หรือหากคุณอายุครบ 60 ปี ณ. วันที่ขึ้นทะเบียน (จะด้วยเหตุผลเพราะลูกหลานลืม พามาขึ้นทะเบียน หรืออะไรก็แล้วแต่ หากท้องถิ่นไม่มีงบประมาณให้) คุณก็ต้องไปรับเงินในเดือนตุลาคม 2560 เช่นกัน เพราะการสำรวจนี้เพื่อจ่ายในเดือน ตุลาคม 2560 (ปีงบประมาณ 2561 )
5. ข้าราชการบำนาญ ไม่มีสิทธิ์รับเงินเบี้ยยังชีพนี้ เนื่องจากมีเงินประจำรายเดือนอยู่แล้ว แต่หากเป็นข้าราชการกินเงินบำเหน็จ สามารถที่จะรับเงินนี้ได้ เนื่องจากเป็นการขอรับเงินก้อนเดียวจบ
6. พระสงฆ์ที่มีเงินประจำตำแหน่ง เป็นรายเดือน ซึ่งเรียกเงินดังกล่าวว่า นิตยภัต จะไม่สามารถรับเงินเบี้ยยังชีพนี้ได้ แต่หากเป็นพระสงฆ์ที่ไม่ได้รับเงินดังกล่าว ฯ สามารถที่จะมาขึ้นทะเบียนเพื่อรับเบี้ยยังชีพได้
7. แม่ชีสามารถมาขึ้นทะเบียนเพื่อขอรับเบี้ยยังชีพได้
8. ที่สำคัญหากมีการเสียชีวิตของผู้สูงอายุ ญาติพี่น้อง จะต้องรีบแจ้งให้ท้องถิ่นทราบ ภายใน 3 วัน
9. หากผู้สูงอายคนไหนที่บัตรประชาชนแสดงแค่ ปีเกิด เช่น 2500 ให้ถือว่าผู้สูงอายุคนนั้น เกิดวันที 1 มกราคม ในปีนั้น
10. ควรเปิดบัญชีไว้กับธนาคาร ธนาคารใดก็ได้ แต่ต้องประเภทออมทรัพย์เท่านั้น
ด้วยรักและห่วงใย งานพัฒนาชุมชน องค์การบริหารส่วนตำบลแก่งเสี้ยน